วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

เปิดโผ 35 รัฐมนตรี สมชาย1


หลังจากใช้เวลาหลายวันในการพิจารณาจัดทำรายชื่อคณะรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดปัญหาการแย่งชิงตำแหน่งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ในที่สุดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ก็จัดทำโผคณะรัฐมนตรี (ครม) เสร็จเรียบร้อย และส่งให้เลขาธิการ ครม. ประสานนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว โดยโผ ครม.รัฐบาลสมชาย 1 ที่สำนักเลขาธิการ ครม.ส่งไปยังสำนักราชเลขาธิการ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนนำความขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม. ใหม่ คาดว่ามีดังต่อไปนี้

1. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม

2. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ

3. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯเป็นรองนายกรัฐมนตรี

4. นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ นายกสภามหาวิทยาลัยชินวัตร เป็นรองนายกรัฐมนตรี

5. นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการ รมว.สาธารณสุข เป็นรองนายกรัฐมนตรี

6. พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นรองนายกรัฐมนตรี

7. นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ส.ส.สัดส่วน รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

8. นายสุพล ฟองงาม รักษาการ รมช.มหาดไทย เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

9. นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รักษาการ รมช.คลัง เป็น รมว.คลัง

10. นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา เป็น รมช.คลัง

11. ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี จากพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็น รมช.คลัง

12. นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ส.ส.สัดส่วน พรรคชาติไทย เป็น รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา

13. นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคพลังประชาชน โควตากลุ่มคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็น รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

14. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์

15. นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร ส.ส.นครปฐม พรรคชาติไทย เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์

16. นายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส. อุดรธานี กลุ่มเพื่อนเนวิน เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์

17. นายสันติ พร้อมพัฒน์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน เป็น รมว.คมนาคม

18. นายโสภณ ซารัมย์ ส.ส. บุรีรัมย์ กลุ่มเพื่อนเนวิน เป็น รมช.คมนาคม เสียบแทน นายทรงศักดิ์ ทองศรี

19. นายวราวุธ ศิลปอาชา ส.ส.สุพรรณบุรี บุตรชายนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เป็น รมช.คมนาคม เสียบแทนนายอนุรักษ์ จุรีมาศ

20. นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย เป็น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

21. นายมั่น พัธโนทัย แกนนำกลุ่มปากน้ำ พรรคเพื่อแผ่นดิน เป็น รมว. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

22. นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ส.ส.นครราชสีมา รองหัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา คู่เขยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็น รมว.พลังงาน

23. นายไชยา สะสมทรัพย์ แกนนำกลุ่มภาคกลาง พรรคพลังประชาชน เป็น รมว.พาณิชย์

24. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ส.ส.สมุทรปราการ เหรัญญิกพรรคพลังประชาชน เป็น รมช.พาณิชย์ 25. พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ รองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย เป็น รมช.พาณิชย์

26. พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เป็น รมว.มหาดไทย

27. นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย แกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา เป็น รมช. มหาดไทย

28. นายประสงค์ โฆษิตานนท์ โควตาพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็น รมช.มหาดไทย

29. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รักษาการ รมว.วัฒนธรรม หัวหน้ากลุ่มขุนค้อน ขยับเป็น รมว.ยุติธรรม 30. นางอุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยานายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เป็น รมว. แรงงาน

31. นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ กลุ่มภาคเหนือ พรรคพลังประชาชน เป็น รมว.วัฒนธรรม

32. นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง รักษาการ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็น รมว.วิทยาศาสตร์ฯ

33. นายศรีเมือง เจริญศิริ ส.ส. สัดส่วน พรรคพลังประชาชน สายตรงคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็น รมว.ศึกษาธิการ

34. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีต รมว.มหาดไทย เป็น รมว.สาธารณสุข

35. นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. กลุ่มคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็น รมช.สาธารณสุข

36. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็น รมว.อุตสาหกรรม

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

บี้รัฐบาลนำ ทักษิณ กลับมาสู้คดี



วานนี้ (18 ก.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่ารัฐบาลชุดใหม่จะต้องนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาสู้คดีในไทยให้เป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ ฝ่ายค้านจะรอให้มี ครม.ชุดใหม่ก่อนและจะพิจารณากระบวนการของการจัดทำนโยบาย ทั้งนี้แม้จะยังเป็นรัฐบาลที่มาจาก 6 พรรคการเมืองเดิม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผู้นำรัฐบาลหรือรัฐบาลชุดใหม่ต้องกล้าส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนและจับต้องได้ในการปฏิบัติงานบริหารประเทศ เพื่อให้มีความหวังว่าเราจะสามารถหลุดพ้นจากวิกฤติได้ มิฉะนั้น เศรษฐกิจและการเมืองของเรายังย่ำอยู่กับที่ ซึ่งหมายความว่าวิกฤติทางการเมืองจะดำรงต่อไป รัฐบาลชุดใหม่ควรยอมรับปัญหาที่ผ่านมาว่ามีอะไรบ้างที่ผิดพลาด บกพร่อง ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำว่าเวลาที่มีผลประโยชน์ไม่ตรงกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนรวมกับเครือญาติ ก็ต้องยึดประโยชน์ส่วนรวมด้วยการกระทำ อยากให้ท่านได้มีโอกาสแสดงชัดๆ ถึงวิสัยทัศน์ว่าความเปลี่ยนแปลงคืออะไร จะเป็นคำตอบว่าเรามีความหวังหรือไม่ ผมว่าคำถามสั้นๆ คำถามเดียว คือ ท่านจะเปลี่ยนแปลงอะไร

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

สมัคร หลุดตำแหน่งนายกฯ มติศาล 9-0 ขาดคุณสมบัติตั้ง"สมชาย"เป็นรักษาการนายกฯ มีอำนาจโยกย้าย ขรก.


ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี "สมัคร สุนทรเวช" จัดรายการชิมไปบ่นไป และยกโขยง 6 โมงเช้า มีมติเอกฉันท์ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้านพรรคพลังประชาชน เตรียมผลักดัน "สมัคร" เป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 วันนี้ (9 กันยายน) เวลา 15.30 น. นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคำร้องของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.และคณะรวม 29 คนและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ "นายสมัคร สุนทรเวช" นายกรัฐมนตรี ในการรับจัดรายการ "ชิมไปบ่นไป" และรายการ "ยกโขยง 6 โมงเช้า" เป็นนัดสุดท้าย หลังจากได้นัดไต่สวนนายสมัคร และนายศักดิ์ชัย แก้ววรรณีสกุล กรรมการบริหารบริษัทเฟซ มีเดีย ผู้ผลิตรายการชิมไปบ่นไป และยกโขยง 6 โมงเช้า เป็นนัดสุดท้าย เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา


ทั้งนี้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยว่า การจัดรายการ "ชิมไปบ่นไป" และรายการ "ยกโขยง 6 โมงเช้า" ของนายสมัครนั้น มุ่งประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ถือได้ว่าขัดรัฐธรรนูญ ส่งผลให้ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยมติเอกฉันท์ 9-0 โดยคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลงมติเอกฉันท์ว่า นายสมัคร มีความผิดตาม มาตรา 267 และ มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) จึงวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ เฉพาะตัว และเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 จึงเป็นเหตุให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรค 1 (1) แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ เป็นการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ทำให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่เหลือยังอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่ารัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 181 ขณะที่ พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้นายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า พรรคพลังประชาชนเคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตาม การพ้นจากตำแหน่งครั้งนี้ก็มีเพียงนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่พ้นจากตำแหน่ง แต่รัฐมนตรีคนอื่นยังรักษาการอยู่ "ทั้งนี้พรรคพลังประชาชนจะมีการหารือกัน และคาดว่าจะให้มีการเสนอวาระด่วน เพื่อเลือกนายกฯ ในวันที่10 กันยายน ทันที และเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 หยุมหยิมเกินไปควรที่จะมีการแก้ไข" พ.ต.ท.กานต์ กล่าว

เมื่อเวลา 20.00 น. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ภายหลังการประชุมนาน 30 นาที พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้แต่งตั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีสถานภาพเป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ถือว่ามีอำนาจ ศักดิ์ และสิทธิเท่าเทียมนายกฯทุกประการตามรัฐธรรมนูญ ทางด้านสำนักเลขาธิการ ครม.ยังแจ้งที่ประชุมว่า ครม.ชุดปัจจุบัน และรัฐมนตรีจะไม่ใช้คำว่า"รักษาการ" นำหน้า ยังบริหารประเทศได้โดยไม่ไปแตะต้องนโยบายที่มีผลผูกพัน หากมีเรื่องสำคัญต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป นอกจากนี้ ยังตั้งทีมโฆษกรัฐบาลทีมเดิมทำงานต่อไป และว่า ในที่ประชุม นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและการกีฬา เสนอให้ที่ประชุมยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน นายสมชายรับปากว่าจะนำไปพิจารณา ส่วนรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งควบอยู่นั้นได้ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมคือ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมทำหน้าที่แทน สำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้มอบหมายให้นายสหัส บัณฑิตกุล ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว อยู่ระหว่างรอเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ จึงได้มอบหมายให้ทำหน้าที่แทนไปก่อน ข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมไม่ได้พูดถึงการสรรหานายกฯคนใหม่ นายสมชายแจ้งเพียงว่า ขอให้ ครม.รักษาการอย่าทำอะไรผูกพันกับ ครม.ชุดใหม่ อย่างไรก็ดี ภายหลังการประชุม มีรัฐมนตรี 2-3 คน ไปปรึกษากับคุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯมีอำนาจยุบสภาหรือไม่ คุณพรทิพย์แจ้งว่า มีอำนาจเหมือนนายกฯทุกอย่าง สามารถใช้งบประมาณ และโยกย้ายข้าราชการได้ ยกเว้นไม่ให้ใช้งบฯโยกย้ายคนในช่วงเลือกตั้งเท่านั้น เพราะอาจทำให้เกิดได้เปรียบเสียเปรียบ

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

นายกฯ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน



นายกฯ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่กทม. มอบ"ผบ.ทบ."รับผิดชอบ ห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนเป็นต้นไป

เมื่อเวลา 07.30 น. สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย รายงานว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลดำเนินการให้เกิดความวุ่นวาย กระทบความเรียบร้อยต่อประชาชนและความมั่นคงของรัฐ กระทบต่อพัฒนาการประชาธิปไตย จึงต้องแก้ไขปัญหาให้สิ้นสุดโดยเร็ว

พร้อมมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้ผบ.ทบ.เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบตามพ.ร.ก. จนกว่าสถานการณ์จะสงบ

- ห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนเป็นต้นไปหรือกระทำอันยุยงขัดต่อความสงบ

- ห้ามเผยแพร่ข้อความให้ประชาชาเกิดความหวากกลัวจนกระทบความมั่นคงของรัฐ และ ความสงบทั่วราชอาญาจักร

- ห้ามใช้เส้นทางบคมนาคม ยานพานหะ ตามที่กำหนด

- ห้ามใช้อาคาร และ ให้อพยพประชาชนออกจากอาคารหรือให้ไปอยู่อาคารตามที่กำหนด

ภายหลังเกิดเหตุการปะทะกันระหว่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บหลายคน

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ตร.รุนแรงเกินเหตุ ปืนจ่อหัวผู้ชุมนุมบังคับออกนอกทำเนียบ





วันนี้ (29 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.10 น. เจ้าหน้าที่ปราบจลาจลหลายพันนายได้พังประตูหน้าฝั่งตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ ในระหว่างที่กลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่ทันตั้งตัว แม้จะมีการเรียกระดมพล แต่ตำรวจสามารถฝ่าวงล้อมเข้าไปได้ ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมคว้าของใกล้มือ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก เก้าอี้ ขว้างใส่ตำรวจ แต่ตำรวจเข้าประชิดตัวและมีการจับตรวจค้นก่อนปล่อยตัว และบังคับให้กลุ่มผู้ชุมนุมไปรวมตัวกันบริเวณด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ตำรวจบางนายได้ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุด้วยการใช้ปืนจี้หัวประชาชนให้ออกไปจากพื้นที่
ซึ่งการบุกเข้าในพื้นที่ครั้งนี้เนื่องจากตำรวจต้องการพื้นที่ครึ่งหนึ่งของทำเนียบรัฐบาล คือตั้งแต่ประตู 5 ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไปจนถึงตึกสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี


วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พันธมิตรฯ ประกาศเป้าหมายและวิธีการชุมนุมสร้างประวัติศาสตร์การเมืองไทย


พันธมิตรฯ ออกประกาศ ฉบับที่ 12/2551 กำหนดเป้าหมายและวิธีการชุมนุมสร้างประวัติศาสตร์การเมืองไทย ย้ำใช้สิทธิตาม ม.63 ยึดมั่นแนวทางสันติวิธี ระบุอาจต้องปิดการจราจรและทำให้สถานที่ราชการบางแห่งไม่สามารถเปิดทำการ เพื่อไม่ให้รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมเข้าทำงานจนสร้างความเสียหายล่มจมต่อประเทศชาติ

ประกาศพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 12/2551

เรื่อง กำหนดเป้าหมายและวิธีการชุมนุมสร้างประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ณ บัดนี้ได้มาถึงเวลาเช้าวันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551 อันเป็นวันที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจัดชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยมีพลังของกองทัพประชาชนกู้ชาติ ที่ยิ่งใหญ่ ห้าวหาญ เกรียงไกร เปี่ยมไปด้วยพลังทางศีลธรรม ที่สมควรได้รับการคารวะอย่างสูงยิ่ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะยังคงธำรงภารกิจศักดิ์สิทธิ์เดิมในการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พิทักษ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และโค่นล้มระบอบทักษิณ ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ ตลอดจนสร้างการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติชุดนี้กำลังจะทำให้บ้านเมืองล่มจม เพราะได้ย่ำยีรัฐธรรมนูญทุกรูปแบบ เหิมเกริมถึงขั้นจะฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้วยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้องตลอดจนจะล้มล้างสถาบันองคมนตรี ซ่องสุมอุ้มชูผู้คนเป็นขบวนการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ฉ้อฉลปล้นชาติล้างผลาญเงินงบประมาณเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้อง ถึงขั้นจะเตรียมการจะปล้นคลังหลวง สร้างรัฐตำรวจกลั่นแกล้งใส่ร้ายประชาชนอย่างไร้ศีลธรรม สร้างอันธพาลป่าเถื่อนของรัฐบาลทำร้ายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ส่งเสริมให้คนชั่วให้มีอำนาจในแผ่นดิน กำจัดคนดีออกจากอำนาจหน้าที่ปกครองบ้านเมือง ขายชาติขายอธิปไตยทำให้สูญเสียดินแดนบนบกและแหล่งพลังงานธรรมชาติในอ่าวไทย มุ่งร้ายและทำลายองค์กรอิสระและสถาบันตุลาการ และใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบใช้หน่วยงานและเครื่องมือของรัฐแทรกแซงสื่อสารมวลชน ให้ข้อมูลเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดในบ้านเมือง ดังนั้น นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป การชุมนุมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมีเป้าหมายหลักเพื่อการขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติที่ไร้จริยธรรมให้ออกไปจากการบริหารประเทศโดยเร็วที่สุด อันเป็นหนทางเดียวในการกอบกู้ประเทศชาติ ที่ใกล้ล่มจมอยู่ในขณะนี้ มิให้ต้องล่มจมลงไปในที่สุด เพื่อบรรลุเป้าหมายในการชุมนุมในครั้งนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำหนดวิธีการให้กองทัพประชาชนกู้ชาติปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. ให้กองทัพประชาชนกู้ชาติได้เข้าร่วมการชุมนุมอย่าง สงบ และปราศจากอาวุธ อันเป็นการใช้สิทธิของประชาชนตามมาตรา 63 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อย่างเคร่งครัด ในการนี้ให้พี่น้องประชาชนที่ได้เข้าร่วมการชุมนุม ได้ยึดมั่นในสันติวิธี ไม่ใช้วาจาหรือการกระทำใดๆที่เป็นการยั่วยุ และไม่ทำลายทรัพย์สินทางราชการ โดยเด็ดขาด

2. ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์มาโดยตลอดแล้วว่า การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีแต่ความสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ โดยที่ไม่เคยเกิดเหตุวุ่นวายแม้แต่ครั้งเดียว ดั้งนั้นหากมีผู้ใดก็ตามที่เข้าร่วมชุมนุม และก่อความไม่สงบ ยั่วยุ ก่อกวน สร้างเงื่อนไขให้เกิดการทะเลาะวิวาท กระทำการรุนแรง หรือการทำลายทรัพย์สินทางราชการ ให้ถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ไม่หวังดีและเป็นอันธพาลของรัฐบาล ที่ต้องการทำลายความชอบธรรมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการตามขั้นตอนของกฎหมายในทันที โดยให้ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียว

3. เมื่อมีประชาชนเข้ามาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมากเพื่อใช้สิทธิตามมาตรา 63 ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความจำเป็นต้องปิดช่องการจราจรและอาจถึงขั้นไม่สามารถทำให้สถานที่ราชการบางแห่งเปิดทำการได้ หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือว่าเป็นการสำแดงพลังของกองทัพประชาชนที่ไม่ต้องการให้ประเทศชาติต้องล่มจม จึงไม่ยินยอมให้โอกาสรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมทั้งในทางนิติธรรม และศีลธรรม บริหารประเทศชาติและเข้าทำงานสถานที่ราชการนั้นอีกต่อไป พร้อมกันนี้ขอเชิญชวนข้าราชการเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อกอบกู้ชาติบ้านเมืองมิให้ล่มจมอย่างพร้อมเพรียง

4. เพื่อความสำเร็จในเป้าหมายในการชุมนุม หากมีการเคลื่อนกองทัพของประชาชน ขอให้พี่น้องประชาชนฟังและปฏิบัติตามคำสั่งและประกาศจากเวทีใหญ่มัฆวาน อย่างมีวินัย และเคร่งครัด


ประกาศ ณ เช้าวันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

"ร.ต.อ.เฉลิม" ยันไม่เคยวิ่งเต้นขอร้องนายกฯ ช่วยบุตรชายกลับรับราชการ



อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันไม่เคยขอร้องหรือวิ่งเต้นนายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งให้ ร.ต.ดวง กลับเข้ารับราชการ เตรียมพิจารณาฟ้องร้อง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา และ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์ ที่สั่งพักพักราชการและสั่งปลด ร.ต.ดวง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมทั้งได้มีการนำเอกสารของทางราชการมาแจกให้กับสื่อมวลชน โดยยืนยันว่า คดีที่สงสัยว่า ร.ต.ดวง บุตรชายหนีราชการทหารนั้น ได้ยุติแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2546 เนื่องจากคณะกรรมการฝ่ายทหารที่สอบสวน และผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ร.ต.ดวง ส่วนกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่านายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีแต่งตั้งให้ ร.ต.ดวง กลับเข้ารับราชการโดยมิชอบ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการนั้น ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยไปขอร้อง วิ่งเต้น รวมทั้งไม่เคยคิดที่จะหาความทุกข์ให้กับนายสมัคร และนายสมัครก็ไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไรในเรื่องนี้ ทั้งนี้จะขอปรึกษากับบุตรชาย รวมทั้งจะดูข้อกฎหมายด้วยว่าจะฟ้องร้อง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา และ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์ ที่สั่งพักพักราชการและสั่งปลด ร.ต.ดวง หรือไม่ เนื่องจากคิดว่า บุตรชายควรได้รับสิทธิ์อันชอบธรรม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เชื่อว่า เรื่องดังกล่าว ไม่น่าจะใช่ฝีมือของคนในพรรคพลังประชาชน และคนที่ออกมายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.นั้น เป็นความคิดของคนที่ไม่มีหิริโอตัปปะ พร้อมเชื่อมั่นในเอกสารหลักฐานว่าจะสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงต่อ ป.ป.ช.ได้


ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การหนีสุดชีวิตของทักษิณ-พจมาน

ารหนีสุดชีวิตของสองคนผัวเมียชินวัตร ต่างไปจากการหายไปของกำนันเปาะ นายสมชาย คุณปลื้ม ต่างไปจากการหายไปของนายวัฒนา อัศวเหม แม้จะมีเป้าหมายอันเดียวกันคือ หนีคุก

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภริยามีที่อยู่แน่นอนที่มหานครลอนดอน แถมยังมีแถลงการณ์มายังมิตรรักแฟนๆ ของเขาว่า “เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมจะแถลงความจริงให้ทุกท่านทราบ วันนี้ไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนผมอดทนอีกนิดหนึ่งครับ...”

นอกจากการหนีคุกแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังถอยออกไปตั้งหลัก โดยหวังว่าวันหนึ่งเขาจะต้องกลับมาอีก ขอให้ผู้สนับสนุนเขาอดทนรออีกนิดหนึ่งเท่านั้น

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะกลับมาได้หรือ?

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนไทย ย่อมมีสิทธิที่จะเดินทางกลับประเทศไทยได้ทุกเมื่อ แต่คราวนี้ย่อมแตกต่างไปจากคราวก่อนที่เดินทางกลับเข้ามาก้มลงจูบพื้นดินไทยด้วยหวังว่า จะอยู่ได้อย่างยืดยาวเพราะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนสูงสุด ได้เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บอกได้ใช้ฟัง
แม้คณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นคนตั้งเสียเป็นส่วนใหญ่ มีที่นายสมัคร สุนทรเวช เลือกมาใช้สอยเป็นมือเป็นตีนบ้างก็คนสองคนที่หอบหิ้วกันมาตั้งแต่อยู่ กทม. ด้วยเห็นมือเห็นตีนจากเรื่องรถและเรือดับเพลิงบ้าง เรื่องขยะบ้าง ซึ่งเป็นชนักติดตัวนายสมัคร สุนทรเวช อยู่จนบัดนี้

ด้วยเหตุนี้เอง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงมองเห็นทางสะดวก

“ผมคิดว่าเหตุการณ์คงจะดีขึ้น ผมคงจะมีโอกาสได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ และได้รับความเป็นธรรมจึงเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 แต่เหตุการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลงเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมและครอบครัวเป็นเสมือนผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้ที่เป็นพิษ ผลของมันก็ย่อมเป็นพิษตามไปด้วย นั่นก็คือ ยังคงมีการสืบทอดระบบเผด็จการในการจัดการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย ตามมาด้วยการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม...”

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวตอนหนึ่งในแถลงการณ์ของเขา

เป็นการกล่าวเท็จอย่างหน้าด้านๆ ไร้ยางอาย (เพราะเขาไม่มียางอายมานานแล้ว)

การเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ได้มาซึ่งรัฐบาลหุ่น นายสมัคร สุนทรเวช เป็นความขมขื่น เป็นความเศร้าของผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ไม่เพียงเพราะนายสมัคร สุนทรเวช เป็นเพียงมือปืนรับจ้าง เป็นหุ่นให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เชิดเท่านั้น หากตัวนายสมัคร สุนทรเวช เอง ก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่นำมาซึ่งความอับอายขายหน้าให้แก่ประชาชนคนไทย เริ่มเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีคดีติดตัวโดยศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกเพราะหมิ่นประมาท ศาลไม่รอลงอาญาเพราะมีพฤติกรรมเช่นนี้หลายครั้ง ขณะนี้คดีอยู่ขั้นอุทธรณ์

บางประเทศนักการเมืองที่มีคดีติดตัวอย่างนี้ไม่มีทางที่จะสะเอะหน้ามาเป็นรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีหรอกครับ แต่นี่เป็นประเทศไทย และต่อมาเราก็ได้เห็นกันว่า คณะรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช ล้วนแล้วแต่แผลพร้อยเต็มตัวด้วยกันทั้งนั้น บางรายแจ้งทรัพย์สินไม่ถูกต้อง ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ขาดคุณสมบัติต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี ก็เอากลับมาเป็นรัฐมนตรีได้อีก แถมกระทรวงใหญ่กว่าเดิม บางรายถูกฟ้อง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับฟ้องแล้วก็ยังหน้าด้านปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

หรือศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดออกมาว่า รัฐมนตรีต่างประเทศ (นายนพดล ปัทมะ) ไปลงนามข้อตกลงกับกัมพูชากรณีเขาพระวิหาร ข้อตกลงข้อสัญญาเช่นนี้ต้องให้สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบเสียก่อน

คณะรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งมีมติเห็นชอบกับการกระทำของนายนพดล ปัทมะ ก็ไม่รู้สึกรู้สา ขอให้พวกเขาได้อยู่ในตำแหน่งก็พอ เพราะพวกเขามีภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งที่จะต้องทำก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวไม่ต้องขึ้นศาล ไม่ต้องถูกดำเนินคดี

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถบงการฝ่ายบริหารที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าให้เคลื่อนไหวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 309 เพื่อให้ คตส.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ถ้าหาก คตส.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คดีต่างๆ ที่ คตส.สืบสวนสอบสวนส่งให้อัยการฟ้องศาลต่างๆ ทั้งศาลอาญา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็เป็นอันยกเลิก

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถบงการฝ่ายนิติบัญญัติ จะเอา นายยงยุทธ ติยะไพรัช หรือ นายชัย ชิดชอบ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็อยู่ที่เขา การสั่งให้ ส.ส.พรรคพลังประชาชนออกมาเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเช่นเดียวกัน

แต่ที่แก้ไขไม่ได้ทั้งที่กุมเสียงข้างมากในสภาฯ ทั้งที่ยื่นร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขไปแล้ว ก็เพราะการเคลื่อนไหวของประชาชน โดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมาเคลื่อนไหวตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม เป็นต้นมาจนขณะนี้จะเข้า 3 เดือนแล้ว

ระหว่างที่ยังแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ คตส.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เอาขนมไปแจกเจ้าหน้าที่ศาลให้แบ่งๆ กันกิน กลายเป็นว่า ถุงขนมมีเงินอยู่ 2 ล้านบาท

ทีมทนายความ 3 คนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เลยต้องนอนคุก 6 เดือนอยู่ขณะนี้

แล้วยังหน้าด้านมาบอกว่า ขบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง?

ใครแทรกแซง ใครพยายามที่จะเข้าไปป่วนขบวนการยุติธรรมกันแน่

มีแต่อำนาจตุลาการเท่านั้นที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สามารถที่จะเข้าไปแทรกแซงได้ ต่างไปจากเมื่อครั้งที่เขาเจอคดีซุกหุ้น เมื่อปี 2544

นอกจากเขาไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้แล้ว คำพิพากษาของศาลในคดีที่ภริยาของเขาหลีกเลี่ยงภาษีก่อนที่จะหอบหิ้วกันหนีไปลอนดอน

จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี จำเลยที่ 2 (คุณหญิงพจมาน ชินวัตร) เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ

จำเลยทั้งสามนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนค่าภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้นเทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น...

หน้าไม่ชา และหน้าไม่อายจริงๆ จึงพูดออกมาได้ว่ากระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภริยาเป็นคนไทย จะเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อใดก็ได้ แต่ตอนนี้ต้องมาในฐานะอาชญากร เพราะมีหมายจับออกมาแล้ว

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คุณ "ให้แม่"..มากกว่าที่แม่ให้คุณหรือยัง?


เจ้าเด็กชายตัวน้องของเราเข้าไปหาแม่ และส่งกระดาษให้
หลังจากแม่เช็ดมือจากผ้ากันเปื้อนแล้วเธอก็ก้มลงอ่าน

ค่าตัดหญ้า 5.00 บาท

ค่าทำความสะอาดห้องผม อาทิตย์นี้ 1.00บาท

ค่าซื้อของให้แม่ 2.50บาท

ค่าดูแลน้องชาย 2.50บาท

ค่าเอาขยะไปทิ้ง 1.00 บาท

ค่าได้คะแนนดี 5.00บาท

ค่ากวาดสนาม 2.00 บาท

รวมค้างชำระ 19.00 บาท





แม่หยิบปากกาขึ้นมา แล้วพลิกกระดาษไปด้านหลัง แล้วเขียน


เก้าเดือนที่แม่ อุ้มท้อง ไม่คิดเงิน
เวลาแม่ พยาบาลลูกและสวนมนต์ ให้ ลูก ไม่คิดเงิน
ค่าที่ลูกทำให้ แม่เสียน้ำตา ไม่คิดเงิน
แม้แต่ เช็ดน้ำมูกให้ ไม่คิดเงินหรอกจ๊ะลูก
แมื่อรวมทั้งหมดเป็น ราคาเต็มของความรัก ไม่คิดเงินเหมือนกัน

เมื่อเด็กชาย ของเราอ่านสิ่งที่แม่เขียน น้ำตาหยดโตก็ไหลออกมา
เขาสบตาแม่ แล้วพูดว่า ... แม่ครับผมรักแม่จริงๆ ครับ
แล้วจากนั้นเค้าก็ หยิบปากกาขึ้นมาเขียนหนังสือตัวโตๆ ว่า


จ่ายหมดแล้ว


แม่จ่ายหมดแล้วแต่ลูกยังทอนไม่หมด....


วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พักรบการเมือง.....เชียร์นักกีฬาไทยไปโอลิมปิกกันเถอะ

วู้วๆๆๆ ถึงช่วงเวลาแห่งความประทับใจ
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่ 29
โดยครั้งนี้จัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
ระหว่างวันที่ 9 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551
โดยจะมีพิธีเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ
ในวันนี้......วันที่ 8 สิงหาคมนี้
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในครั้งนี้
ได้รับความสนใจของทั่วโลกเป็นอย่างมาก
ว่าแล้วเราคนไทยมาร่วมส่งแรงใจ
เชียร์นักกีฬาไทยไปโอลิมปิกกันเถอะค่ะ สู้ๆ

พันธมิตรฯเผยกำหนดการวันแม่แผ่นดินยิ่งใหญ่เริ่ม 10 ส.ค.



พันธมิตรฯ เผยกำหนดการจัดงานวันแม่แห่งแผ่นดินยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.เป็นต้นไปพร้อมใจกันสวมเสื้อสีฟ้า ทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์สวดไล่อาถรรพ์พ้นแผ่นดิน "สนธิ" แฉกำหนดการ "พจมาน" บินจากปักกิ่งไปลอนดอนวันที่ 10 ส.ค.นี้แน่นอน ชี้แนวโน้มไม่กลับมามีสูง ชี้อนิจจังคนรอบตัว "แม้ว"รวมหัว "หมัก" ลอยแพแล้ว

วันที่ 7 ส.ค. เมื่อเวลาประมาณ 22.30 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประราธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า ในวันที่ 9 สิงหาคมนี้ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จะขึ้นเครื่องบินจากกรุงปักกิ่งไปกรุงลอนดอนแน่นอน และในวันนี้ลูกสาวก็ได้บินไปสมทบที่กรุงลอนลอนในวันที่ 10 สิงหาคมแล้ว ทำให้น่าสงสัยว่าจะกลับมาตามที่ศาลฎีกากำหนดเอาไว้ให้มารายงานตัวในวันที่ 11 สิงหาคมหรือไม่ จากนั้น นายสนธิ กล่าวว่า เริ่มตั้งแต่คืนวันที่ 7 ส.ค. เป็นต้นไป เราจะประดับไฟ รวมทั้งจะเปลี่ยนฉากหลังเวที จะมีไฟส่องท้องฟ้า และมีการุดพลุอย่างสวยงามด้วย โดยจะเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป นายสนธิ กล่าวว่า รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 116 วัน ใช้เงินภาษีของประชาชนโดยมีวาระซ่อนเร้น เพื่อสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ แต่เราจัดงานฉลองด้วยใจที่กตัญญูต่อแม่ของแผ่นดิน นอกจากนี้ยังทำซีดีเพลงแม่และพ่อของแผ่นดินแจกอีก 5 หมื่นแผ่น ซึ่งพวกเราไม่ได้ทำเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่ทำเพื่อแม่ของแผ่นดิน "ในทางธรรมคนที่ทุศีลไม่มีโอกาสทำความดี และจะไม่มีสัจจะในหมู่โจร โดยเฉพาะจากโจรที่เป็นสัตว์นรกยิ่งไม่มี" นายสนธิ ระบุและว่า เป็นเวลาเกือบ 2 ปีที่คนที่มีทั้งอำนาจเงินและอำนาจรัฐอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องระเห็จไปอยู่ต่างแดน แต่ยังไม่รู้สำนึก ไม่รู้ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง "วันนี้ได้เห็นความจริงแล้วว่าคนรอบข้างได้หลอกใช้เพื่อหาผลประโยชน์ ทำให้เห็นผิดเป็นชอบ และวันนี้เมื่อหมดสภาพคนเหล่านี้ก็พร้อมใจกันลอยแพคุณทักษิณ ขณะเดียวกันคุณสมัคร(สุนทรเวช)กำลังสนุกกับอำนาจและเวลานี้คนที่เคยอยู่รอบข้างคุณทักษิณส่วนหนึ่งก็ไปรับใช้ นายสมัครแล้ว" นายสนธิ ระบุ แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า เวลานี้ในบ้านเมืองมีอยู่ 4 กลุ่มคือกลุ่มของนายสมัคร กลุ่มที่รักภักดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กำลังเหลือน้อยเต็มที กลุ่มฝ่ายค้าน และกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นกลุ่มพลังแห่งความดี เป็นพลังบริสุทธิ์และได้แต่หวังว่ากลุ่มฝ่ายค้านจะมาร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ในไม่ช้า เพราะการเมืองในสภามันไปไม่ได้แล้ว ขณะเดียวกัน นายสนธิ ได้ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้ก็เหมือนเศษสวะที่ไร้ประโยชน์ และคนอย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา นายเสนาะ เทียนทอง หรือคนอย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่เล่นการเมืองมาหลายสิบปี ก็ได้จบชีวิตทางการเมืองแล้ว เพราะได้ถูกกลุ่มพันธมิตรฯ เปลือยธาตุแท้ออกมาอย่างหมดเปลือก รวมทั้งกลุ่มนักวิชาการจอมปลอมอย่างกลุ่มริบบิ้นขาวที่อยู่แต่ในหอคอยงาช้าไม่เคยมาสัมผัสความรู้สึกของพี่น้องที่นี่ว่าต้องการการเมืองใหม่อย่างไร "ชีวิตของคุณทักษิณ คุณพจมาน และลูกๆ เปล่าเปลี่ยว แต่ถ้าพวกเขามีความกตัญญูต่อชาติบ้านเมืองก็จะไม่เป็นแบบนี้ และพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้มีเงิน 2 แสนล้านก็ซื้อไม่ได้หมดทุกอย่าง" นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 10 11 12 ส.ค.จะพิสูจน์ให้พวกเขา(รัฐบาล) ได้เห็นว่าความจงรักภักดีโดยไม่ต้องเกณฑ์ใคร มาอยู่ในเต็นท์ติดแอร์ ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคมนี้เป็นต้นไปให้ขอพี่น้องทุกคนพร้อมใจกันใส่เสื้อสีฟ้า และในวันที่ 11 จะมีการถ่ายทอดพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ จากนั้นจะทำพิธีสวดไล่อาถรรพ์ไล่สัตว์นรกเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน และวันที่ 12 จะมีการสวดถวายพระพรให้กับพระองค์ท่านอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

บรรยากาศการชุมนุม

บรรยากาศการชุมนุมขับไล่ “รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ” ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันที่ 29 ก.ค.51 เข้าสู่วันที่ 67 มวลชนจากทั่วสารทิศยังคงหลั่งไหลเข้าร่วมชุมนุมอย่างคึกคัก ในสถานการณ์การต่อสู้ที่เข้มงวดเข้าไปทุกที หลังจากที่รัฐบาลนอมินีระบอบทักษิณกำลังพบกับแรงกดดันรอบด้านทั้งจากพันธมิตรฯ กระบวนการตุลาการ องค์กรอิสระที่เร่งตรวจสอบความผิด ล่าสุดยังมีกรณีพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคประกาศถอนตัว
ขณะที่กิจกรรมบนเวทีในวันที่ 67 ของการชุมนุม เป็นการปราศรัยของวิทยากรรับเชิญและแกนนำพันธมิตรฯ สลับกับการแสดงทางวัฒนธรรมเช่นเคย


(ต่างชาติก็มี)

(รำไทยก็มี)

(ตั้งใจดูการแสดง)


(มอบอะไรเล็กๆน้อย)

(ถึงตัวเล็กแต่ใจใหญ่)

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

"สนธิ"ย้ำ รบ.ขายชาติต้องไล่ออกสถานเดียว แค่เปลี่ยน รมต.ทวง"พระวิหาร"ไม่สำเร็จ

"สนธิ" ฟันธงจะปรับ ครม.เปลี่ยนรัฐมนตรีต่างประเทศอีกร้อยคนก็แก้ปัญหาปราสาทพระวิหารไม่ได้ เพราะเป็นนโยบายรัฐบาลขายชาติ ย้ำปล่อยให้อยู่ต่อไปประเทศฉิบหายแน่ ชี้เหตุการณ์สั่งอันธพาลออกมาสร้างความรุนแรงป่าเถื่อนสะท้อนการดิ้นรนระยะสุดท้ายแล้ว วันนี้(28 ก.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีสะพานมัฆวานฯ โดยย้ำว่าแม้รัฐบาลจะแต่งตั้งรัฐมนตรีต่างประเทศอีกสักร้อยคนก็ไม่มีทางแก้ปัญหาปราสาทพระวิหารได้เลย และว่าหากรัฐบาลชุดนี้อยู่อีก 1 วันก็จะเสียหาย 1 วัน อีก 1 วินาทีก็จะเสียหาย 1 วินาที และถ้ายังอยู่ต่อไปประเทศฉิบหายแน่นอน นายสนธิ เสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาเรื่องปราสาทพระวิหาร หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ว่า สิ่งที่ต้องทำมีหลายข้อดังนี้

1.ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีชุดที่แล้วที่ไปให้ความเห็นชอบในแถลงการณ์ร่วมให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
2.ตั้งคณะกรรมการอิสระที่เป็นกลาง และสังคมให้ความเชื่อถือมาไต่สวนหาความผิด
3.จากนั้นให้แจ้งไปยังสหประชาชาติว่ามีการฉ้อฉลและให้รื้อฟื้นคดีปราสาทพระวิหารขึ้นมาใหม่
4.ขอลาออกจากองค์การยูเนสโกและขอคืนสถานภาพโบราณสถานที่ยูเนสโกขึ้นทะเบียนเอาไว้ในประเทศไทยทั้งหมด 5. เรียกทูตเขมรมารับทราบว่าไทยไม่ยอมรับแผนที่ที่เขมรอ้างฝ่ายเดียว และจะไม่ยอมรับเด็ดขาด
5. ตั้งทูตพิเศษเดินสายชี้แจงประเทศที่เป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ พร้อมล็อบบี้ทั้งทางลับและเปิดเผย และชี้ให้เห็นว่าราเคยถูกฝรั่งเศสรังแกอย่างไร
6. แจ้งคนไทยตามแนวชายแดนรับทราบสถานการณ์หากมีตวามจำเป็นต้องปิดชายแดน
7.เสนอเจรจากับเขมรแบบทวิภาคี โดยยืนยันยึดสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน หากตกลงกันไม่ได้ ก็ให้ยึดคำตัดสินของศาลโลกชั่วคราวนั่นคือให้เขมรถอนทหารกลับไปที่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งไทยต้องรักษาอธิปไตยแม้จะเกิดสงครามก็ยอม เป็นต้น

นายสนธิ กล่าวว่า การยืนกรานท่าทีของไทยแบบนี้ย่อมทำให้เขมรโกรธ แต่ไม่กล้าทำสงครามกับไทย แต่ที่ผ่านมามีความก้าวกร้าวกับไทยเพราะมีรัฐบาลขายชาติ และถ้าเขมรหันไปพึ่งเวียดนามก็จะมีปัญหาในลักษณะเดียวกันระหว่างคนเขมรกับคนเวียดนามอีก

นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อสถานการณ์ไปถึงขั้นที่สหประชาชาติเข้ามาแล้ว ถึงตอนนั้นไทยมีความได้เปรียบ และว่าเมื่อเราลาออกจากยูเนสโกแล้วและเมื่อกรรมการ 7 ชาติที่บริหารปราสาทพระวิหารก็จะไม่ให้ใช้เขตแดนไทยเป็นทางผ่าน หากเข้าปราสาทพระวิหารให้ขึ้นจากฝั่งเขมีโดยนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปลงที่นั่น ถ้าเป็นดังนี้ทุกอย่างก็จะย้อนกลับไปสมัย 2505 ที่เขมรได้ไปเฉพาะปราสาท

"รัฐบาลชุดนี้จะปรับคณะรัฐมนตรีอีกกี่ครั้งก็ไม่มีความหมาย และเชื่อว่า นายเตช (บุนนาค) แก้ปัญหาปราสาทพระวิหารไม่ได้ เพราะนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ขายชาติ" นายสนธิ ระบุ

จากนั้นได้เปิดคลิปเสียงขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยปราศรัยกับกลุ่มกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าชมรมรักอุดรที่นำโดยนายขวัญชัย ไพรพณา นักจัดรายการที่นำม็อบถ่อยไปรุมทำร้ายพี่น้องพันธมิตรฯ เมื่อครั้งเดินทางไปตรวจราชการที่ภาคอีสาน อย่างไรก็ดีในคลิปเสียงดังกล่าว รตอ.เฉลิม กลับกล่าวชมกลุ่มชมรมคนรักอุดรฯในขณะนั้นว่าเคารพประชาธิปไตย แต่กลับกล่าวหาว่าพันธมิตรที่กระบี่เป็นม็อบเถื่อน

นายสนธิ กล่าวว่า จากภาพชี้ให้เห็นว่า ร.ต.อ.เฉลิมและนายขวัญชัยมีความใกล้ชิด ซึ่งทั้งคู่ต่างเป็นนักการเมือง และต้องถูกดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งโทษถึงขั้นจำคุก

"ใกล้ถึงเวลาสิ้นสุดเพราะสังเกตจาการมีปฏิกริยาจากจากพวกอันธพาล เพราะถ้าพวกเขาได้เปรียบเขาจะไม่สนใจ และวันนี้ 3 รัฐมนตรีที่ถูกศาลฎีกาฯรับฟ้องคดีหวยบนดิน ก้ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้ามีความผิดตามมาตรา 157 และสองสามวันจะมีคดีอย่างต่อเนื่อง วันที่ 31 มีการตัดสินคดีของคุณหญิงพจมาน ถ้าศาลจำคุก แม้ว่าสามารถอุทธรณ์ได้ แต่ถ้าศาลไม่ให้ประกันละ ทุกอย่างเป็นไปได้" นายสนธิ กล่าวและว่าหากเปรียบเหมือนเชือกที่ขมวดเข้ามาจนใกล้ขาดแล้ว ให้อดทนอีกนิด

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551


ปะทะเดือด! ม็อบคนรักอุดร ปะทะ ม็อบพันธมิตร เจ็บอื้อ







อุดรธานี 24 ก.ค.- เกิดเหตุกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มชมรมคนรักอุดรกับกลุ่มพันธมิตรฯ มีผู้บาดเจ็บกว่า 10 ราย ด้านผู้ว่าฯ สั่งเก็บภาพไว้เป็นหลักฐาน หากมีผู้แจ้งความดำเนินคดี

เมื่อเวลา 15.30 น. วันนี้ (24 ก.ค.) กลุ่มชมรมคนรักอุดรประมาณ 200 คน ผูกศีรษะด้วยผ้าสีแดง ซึ่งมีนายอุทัย แสนแก้ว ใช้เครื่องขยายเสียงกล่าวบนรถกระบะขณะเคลื่อนขบวนจากเวทีสนามทุ่งศรีเมือง มุ่งหน้าไปยังเวทีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.อุดรธานี ที่ตั้งเวทีอยู่บริเวณสวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม เขตเทศบาลนครอุดรธานี ซึ่งมีตำรวจและอาสาสมัครกระจายกำลังดูแลความสงบเรียบร้อย ปรากฏว่า เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายขึ้น เนื่องจากกลุ่มชมรมฯ และกลุ่มพันธมิตรกระทบกระทั่งถึงขั้นใช้กำลังจนได้รับบาดเจ็บ บางคนถูกตีด้วยไม้จนสลบ เจ้าหน้าที่พยายามเข้าระงับเหตุ แต่ไม่เป็นผล พร้อมเรียกรถฉุกเฉินมาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และรถของโรงพยาบาลยังถูกทุบกระจกแตกเสียหาย โดยที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีมีผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกส่งมารักษาตัว 13 คน คือ นายแก้ว จันธิชู อายุ 59 ปี นายชนะศักดิ์ ผ่องเทิดทิ่ง อายุ 54ปี นายจวง ขาเกตุศรี อายุ 46 ปี นางธนัยนันต์ จรัสกีล้วน อายุ 30 ปี นายสมพร รักดาดาษ อายุ 23 ปี นายเฉลิมวุฒิ ปะวิเศษ อายุ 61 ปี น.ส.สุจิรา มีชั้นช่วง อายุ 43 ปี นายรัตนะชัย ทองสุก อายุ 22 ปี นายรังสี ศุภชัยสาคร อายุ 61 ปี นายพงษ์เทพ แก้วใส อายุ 25 ปี นายโกวิทย์ เรียวแรงไกรสร อายุ 63 ปี นายพาเลิศ อินบัวศรี อายุ 52 ปี และนายเสรี เป็นสุข อายุ 49 ปี

พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดาศักดิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ พยายามป้องกันเหตุรุนแรง และแยกทั้งสองกลุ่มออกจากกัน โดยกลุ่มชมรมคนรักอุดรไม่อยากให้กลุ่มพันธมิตรฯ เปิดปราศรัยที่ จ.อุดรธานี จึงเดินทางไปเพื่อต้องการยุติเวที อย่างไรก็ตาม การกระทบกระทั่งกันครั้งนี้จะต้องตรวจสอบพยานหลักฐานก่อนดำเนินคดี เพราะมีผู้บาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้เข้ามาแจ้งความก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครมาแจ้ง

นายสุพจน์ เลาวัณย์ศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ได้รับรายงานแล้ว จึงกำชับให้ตำรวจรวบรวมหลักฐานและบันทึกภาพไว้ เพื่อนำมาตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุก่อน

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2551



พล.อ.เชษฐา ระบุกลุ่มก่อความไม่สงบใต้ประกาศหยุดปฏิบัติการตั้งแต่เที่ยงวันนี้กรุงเทพฯ 17 ก.ค. - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่ากลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ทุกกลุ่ม ประกาศจะหยุดปฎิบัติการในพื้นที่ ตั้งแต่เที่ยงวันนี้เป็นต้นไป

พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า จากการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อหาข้อยุติความไม่สงบในภาคใต้ ล่าสุดกลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ทุกกลุ่ม ประกาศว่า จะหยุดปฏิบัติการในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่เที่ยงวันนี้เป็นต้นไป ส่วนหลังการประกาศจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม พร้อมยืนยันว่าการประกาศดังกล่าวไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร รวมทั้งไม่มีการจัดฉากแต่อย่างใด

“พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร” ยืนยันการประกาศยุติการก่อเหตุความรุนแรงในภาคใต้ของกลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ ไม่ใช่การจัดฉาก และไม่มีนัยทางการเมือง เผยมีการประสานพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อหาข้อยุติปัญหาความไม่สงบใต้ ปัดไม่เกี่ยวกับการปรับ ครม. พร้อมประกาศไม่รับตำแหน่ง รมว.กลาโหม




วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ขำขำ


* จะไม่ยุ่งกับการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง

“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผลรวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็น
อย่างดี
" เศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า Sufficiency Economy …
คำว่า Sufficiency Economy นี้ไม่มีในตำราเศรษฐกิจ.
จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่ …
Sufficiency Economy นั้น ไม่มีในตำรา
เพราะหมายความว่าเรามีความคิดใหม่ …
และโดยที่ท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่า
เราก็สามารถที่จะไปปรับปรุง หรือไปใช้หลักการ
" เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศและของโลกพัฒนาดีขึ้น. "

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 23 ธันวาคม 2542 )






คลิป เศรษฐกิจ พอเพียง จาก Seedang.com

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Introduce our group



ชื่อ : นางสาววรัญญา พลทัดสะ
ชื่อเล่น : องุ่น
ID : 4831203295
สาขา : บริหารธุรกิจ
วันเกิด : 21/09/1986
งานอดิเรก : ฟังเพลง อ่านหนังสือ ดูหนัง คุยกับเพื่อนๆ
มุมมองเกี่ยวกับการเมืองในยุคปัจจุบัน : การเมืองเป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไข ไม่เฉพาะแต่บุคคลที่อยู่
ในกลุ่มนักการเมือง เพราะเราทุกคนคือหนึ่งในชีวิตที่ยังคงอยู่ในผืนแผ่นดินไทย



ชื่อ :นางสาวสุกัญญา อยู่สบาย

ชื่อเล่น : ยุ้ย

ID : 4831203209


สาขา : บริหารธุรกิจ


E-mail : kuchiczzz@hotmail.com


วันเกิด : 08/11/1986


งานอดิเรก : ฟังเพลง ดูหนัง


มุมมองเกี่ยวกับการเมืองในยุคปัจจุบัน : อยากให้โลกสงบสุข


ชื่อ : นางสาวพิศมัย อยู่แก้ว

ชื่อเล่น : ก๊อบ

ID : 4831203133

สาขา : บริหารธุรกิจ

E-mail : pangpoo_77@hotmail.com

วันเกิด : 04/02/1987

งานอดิเรก : ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเน็ต

มุมมองเกี่ยวกับการเมืองในยุคปัจจุบัน : ประเทศเกิดแต่ความวุ่นวาย





ชื่อ : นายพงษ์กร ภัทรมานนท์

ชื่อเล่น : ตั้ม

ID : 5031205225

สาขา : การจัดการการท่องเที่ยว

E-mail : hirochi_up_mfu@hotmail.com

วันเกิด : 26/10 /1986

งานอดิเรก : ดูหนัง ฟังเพลง ออนกบ

มุมมองเกี่ยวกับการเมืองในยุคปัจจุบัน : เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก





ชื่อ : นางสาวธนิสสรา สมานมิตร

ชื่อเล่น : ลูกหว้า

ID : 5031203098

สาขา : บริหารธุรกิจ

E-mail : lookwa@gmail.com

วันเกิด : 25/01/1984

งานอดิเรก : ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ท่องอินเตอร์เน็ต

มุมมองเกี่ยวกับการเมืองในยุคปัจจุบัน : ใครก็ไม่ดีไปกว่าใคร รักกันไว้ดีกว่า ช่วยกันแก้ไข ดีกว่า กัดกันอยู่ได้






ชื่อ : นางสาว ศิริพร วงศยา

ชื่อเล่น : จิ๋ว

ID : 5031205229

สาขา : การจัดการการท่องเที่ยว

E-mail : siriporn_jewrel@hotmail.com

วันเกิด : 24/10/1986

งานอดิเรก : ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ต

มุมมองเกี่ยวกับการเมืองในยุคปัจจุบัน : ในจิตวิญญาณของนักการเมืองที่เต็มไปด้วยหน้ากาก ที่ซับซ้อน


แต่ละบทบาทของนักการเมือง มีแต่การเสแสร้ง การปกครอง ไร้ซึ่ง ผู้บริหารประเทศ ที่มีความสัตย์

คนเลวได้ดีเพราะคนดีท้อถอย




ชื่อ : นางสาว ปัทมา แนววงศ์

ชื่อเล่น : ดาว

ID : 4831203265

สาขา : บริหารธุรกิจ

E-mail : dittydonga@hotmail.com

วันเกิด : 3/01/1987

งานอดิเรก : ฟังเพลง อ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต

มุมมองเกี่ยวกับการเมืองในยุคปัจจุบัน : คือเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ยากที่จะทำใจรับให้ได้